วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วิธีฝึกการสะกดจิต Mesmerise

การสะกดจิต กับ ออร่ามนุษย์

Dr. Joe H. Slate. เป็น นักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียง มีผลงานวิจัยด้านพลังจิตที่โด่งดัง เป็นปรมาจารย์ที่มีผลงาน ได้รับการยอมรับอย่างสูง และได้รับรางวัลมากมาย ได้กล่าวถึงการสะกดจิตกับออร่าว่า

จิตใต้สำนึก (Subconscious) โดยตัวของมันเองนั้น ท้าทายความสามารถของเราให้พิสูจน์ไปให้ถึงดินแดนอันลี้ลับ ที่แฝงเร้นอยู่ภายใน และเปิดเผยคลังข้อมูลอันล้ำค่า และศักยภาพแห่งความเจริญเติบโตที่ซ่อนเร้นอยู่

และท่านยังได้ให้ความหมายและประโยชน์ของการสะกดจิตว่า การสะกดจิต เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างพลังงานที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่สามารถจะนำมาใช้ในการขุดค้นลงไปใน จิตใต้สำนึก และเปิดเผยความรู้ใหม่ แห่งความเจริญเติบโตอันมหาศาลออกมา มันสามารถเข้าไปกระตุ้นศักยภาพที่แฝงเร้น ขจัดอุปสรรคที่ขวางกั้นช่องทางแห่งความเจริญเติบโต และปลดปล่อยพลังอันมหาศาลเข้าสู่ชีวิตเรา ซึ่งผลที่เกิดตามมาก็คือ เป้าหมายต่างๆ ที่เราตั้งขึ้นไว้และไม่คิดว่าจะสำเร็จลุล่วงลงได้ ก็กลายเป็นความเป็นไปได้อย่างมีเหตุผลยิ่ง....

"... การเสริมสร้างพลังตนเอง การตั้งเป้าหมายเฉพาะ เช่น การควบคุมน้ำหนักตัว เลิกสูบบุหรี่ ลดความเครียด เพิ่มแนวความคิดในการสร้างสรรค์ ช่วยให้ความจำดีขึ้น และเพิ่มสติปัญญาความสามารถทางด้านการศึกษาเล่าเรียน* ฯลฯ ซึ่งเท่าที่เอ่ยมานี้เป็นเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น... การสะกดจิต สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่มีความซับซ้อนสูง เปิดเผยความรู้ ความเชี่ยวชาญอย่างเต็มที่ เช่นการสนองตอบต่อคำสั่ง ให้พูดภาษาใหม่ที่ไม่เคยพูดมาก่อน หรือแสดงความรู้ออกมาให้เห็น ทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์อันน่าสนใจนี้ ซึ่งบางครั้งเราอาจเรียกว่า ผลพวงของการสะกดจิต มักจะเกิดขึ้นระหว่างการสะกดจิตถอยหลัง เข้าสู่อดีตชาติ (Past Life Regression) ซึ่งเท่ากับการเข้าไปปลุกความรู้ ความสามารถที่แฝงเร้น หรือความทรงจำเกี่ยวกับอดีตชาติ ที่บันทึกอยู่ในจิตใต้สำนึกให้ตื่นขึ้น...

Dr. Joe H. Stale ได้กล่าวถึงการสะกดจิตที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตว่า..

การ สะกดจิต สามารถนำมาใช้ในการเปิดเผยความสามารถทางด้านพลังจิต และกระตุ้นพัฒนาการทางจิตของเราได้ ศักยภาพทางด้นพลังจิตของเราส่วนใหญ่ มักจะฝังตัวอยู่ในจิตใต้สำนึก เนื่องจากมันอยู่ลึกเกินกว่าระดับสามัญสำนึก... ในระหว่างการสะกดจิต การแสดงออกทางพลังจิตมักจะปรากฏขึ้นด้วยตัวของมันเอง โดยตรง ในรูปแบบที่ปราศจากการปิดบัง อำพราง เช่น การล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต การส่งกระแสจิต การมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (ตาทิพย์) การถอดกายทิพย์ และการสะกดจิตถอยหลัง... ในการนำการสะกดจิตเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการเสริมสร้างพลังส่วนตนนั้น การสะกดจิตตนเอง ดูจะเป็นกรรมวิธีที่น่าพอใจ ถ้าจะกล่าวกันตามความจริงแล้ว การสะกดจิตทุกรูปแบบ ล้วนแล้วแต่เป็นการสะกดจิตตนเองทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะถ้าปราศจากความสมัครใจ ที่จะสนองรับต่อการสะกดจิตแล้ว สภาวะเข้าสู่ภวังค์ย่อมไม่มีวันเกิดขึ้น... การสะกดจิตตนเอง มีความสำคัญต่อการศึกษาเรื่องออร่าในมนุษย์ด้วยเหตุผลหลายประการ เพราะนอกจากจะช่วยให้เราได้พบกับช่องทางใหม่ในการดูและสื่อสารกับออร่า การสะกดจิตตนเองยังสามารถกระตุ้นการทำหน้าที่ของจิตในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงความสามารถในการมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า (ตาทิพย์) และพลังจิตเหนือธรรมชาติ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้อง เป็นพิเศษต่อการปรับเข้าไปในสภาวะจิตของเรา นอกจากนั้น มันยังสามารถดึงข้อมูลที่มีอยู่ ในจิตใต้สำนึกให้ปรากฏและประยุกต์เข้า เพื่อให้พลังงานแก่ออร่า และสร้างเสริมพลังชีวิตให้กับเรา...

ดัง นั้น การสะกดจิต จึงเป็นเทคนิคที่ช่วยให้เราได้รู้เห็น และสื่อสารกับออร่าของตัวเราเอง ซึ่งเป็นประโยชน์มหาศาลในการเข้าไปค้นพบออร่า ในส่วนที่บกพร่อง มีร่องรอยฉีกขาด รอยแยกช่องว่าง หรือไร้สี เราสามารถเข้าไปสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น สร้างเสริมพลังให้กับออร่า สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับแสงสี รัศมีของออร่า ทำให้ออร่า ขยายรัศมีแผ่กว้างขึ้น มีแสงสว่างสุกสดใสยิ่งขึ้น ทำให้เป็นผู้มีพลังจิตที่สูงขึ้น สามารถพัฒนาสัมผัสพิเศษต่างๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น การย้อนจิตระลึกชาติ หรือการล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต การโทรจิต การใช้พลังจิตบำบัดโรค การถอดกายทิพย์ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ให้มีให้เกิดขึ้นกับตนเอง เหมือนดั่งได้ค้นพบอริยทรัพย์ภายในตนเอง ที่เราไม่เคยได้ค้นหาอย่างจริงจัง เพราะเราเรียนแต่วิชาการความรู้ที่ล้วนไกลตัวเราออกไปทุกทีๆ เรื่อง ของกายจิต วิญญาณ ที่เป็นสิ่งติดอยู่กับตัวเรา จึงมิได้ถูกค้นคว้าและค้นพบขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ จึงมิได้ถูกนำขึ้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตเราดังคำกล่าวของท่านผู้รู้ ที่ว่า หากนิ่งเฉย ก็จะสูญเสีย เมื่อแสวงหาก็จะพานพบ...อย่าพลาดโอกาสที่ดีของชีวิต!”

Master Birth สถาบัน PHD

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สมาธิกับการสะกดจิต

นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ชื่อ Edward Maupinสรุปหลักวิธีฝึกสมาธิที่ได้ผลของเขา คือ ใช้ลมหายใจของตัวเองเป็นสิ่งกำหนดจิต ผู้ทดสอบจะต้องนั่งบนเก้าอี้ลักษณะตัวตรง เท้าทั้งสองวางไว้บนพื้นและปฎิบัติตามคำแนะนำดังนี้ ปล่อยลมหายใจตามธรรมชาติเมื่อหายใจเข้า พยายามสูดอากาศให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วโฟกัสจุดแห่งการเคลื่อนไหวของลมหายใจของท่านลงไปที่ช่องท้องอย่าให้ความคิดหรือสิ่งแวดล้อมภายนอกมาดึงเอาความสนใจ หรือความตั้งใจออกไปจากการหายใจของท่าน ผลการทดลองกับผู้เข้าลอง 28 คน ซึ่งกำหนดการทดลองเป็น 9 ครั้ง ครั้งละประมาณ 45 นาที ในเริ่มแรกปรากฎว่าผู้เข้าฝึกส่วนใหญ่รู้สึกไม่ปกติ เช่น มีอาการหงุดหงิด ขุ่นหมองในจิตใจหรือวิงเวียนเรื่อยไปจนกระทั่งถึงขั้นรู้สึกสบายขึ้น ในช่วงที่รู้สึกสงบตัวจะรู้สึกว่าตัวเบาหวิว มีความรู้สึกคล้ายๆกับของลอยสูงจากพื้น คนรู้สึกนิ่งแบบแทบไม่รู้สึกตนเองอยู่ใจลักษณะอาการอย่างใดเลย

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

การสะกดจิตกับการนอนหลับ

นายแพทย์ชาวสวิส ชื่อMesmere เป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ได้พบว่าในบรรยากาศรอบตัวเรามีคลื่นชนิดหนึ่งที่มีความละเอียดมาก มีลักษณะคล้ายๆกับคลื่นแม่เหล็กและสามารถดำรงอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ เมื่อคลื่อนแม่เหล็กชนิดนี้มีปริมาณมากพอ ผู้เป็นเจ้าของคลื่อนแม่เหล็กนั้นอาจสามารถชักนำออกมา และผ่านเข้าไปในร่างกายอีกคนหนึ่ง ซึ่งจะทำให้สามารถบังคับข่มขู่อีกคนหนึ่งได้ Mesmereเรียกคลื่นแม่เหล็กชนิดนี้ว่า "แรงแม่เหล็กแห่งสัตว์ ''

วิธีการสะกดจิตของMesmereเริ่มด้วยผู้ทำการสำกดจิตรวบรวมสมาธิและเพ่งพลังแรงแม่เหล็กแห่งสัคว์นี้ผ่านเข้าไปในสมองของผู้รับการสะกด ผลจะเป็นว่าผู้รับการสะกดจะตกในอาการหลบไหลควบคุมตนเองไม่ได้ ปฎิกริยาตอบสนองที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่คำสั่งของผู้ที่ทำการสะกด

การสะกดจิตแบบนี้ผู้ถูกสะกดจะอยู่ในอาการคล้ายกับคนหลับ ดังนั้นในเวลาต่อมาไม่นานนักจึงมีผู้คิดคัดค้านกับทฤษฎีของMesmereว่าเป็นแค่การเร่งให้หลับเร็วเท่านั้นเอง

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

การสะกดจิตยุคปัจจุบัน

ปัจจุบันการสะกดจิตได้รับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมาจากวิธีการสำกดจิตแบบเก่าอย่างมาก หลังจากที่ได้ค้นพบจิตใต้สำนึกแล้ว ได้มีการค้นคว้าทดลองกันอย่างขะมักเขม้น จนในที่สุดก็พบว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปอาจจะถูกสะกดจิตได้ เพียงแต่ผู้กระทำการสะกดรู้จักวิธีการชักจูงจิตใต้สำนึกให้เกิดการยอมรับที่ถูกต้อง วิธีการที่ค้นพบใหม่นี้ ผู้ทำการสำกดจิตอาจไม่ต้องใช้แรงแม่เหล็กแห่งสัตว์เข้าไปควบคุมจิตใจผู้อื่นเลยก็ได้ และอาจทำการสะกดจิตได้แม้ผู้ถูกสะกดไม่อยู่ในอาการหลับไหล ถ้าเช่นนั้น การสะกดจิตกับการนอนหลับก็เป็นคนละเรื่องกัน เพราะในการสะกดจิตผู้ถูกทำการสะกดจิตมิได้หลับไหลอย่างสิ้นเชิง ประสาทบางส่วนทางด้านการรับรู้ยังทำงานอยู่ตามปกติ หูยังได้ยินเสียง ตายังมองเห็นภาพ ประสาทสัมผัสยังรู้สึกได้ เพียงแต่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมเท่านั้น ซึ่งผิดปกติกับการนอนหลับ ในการนอนหลับ ประสาทต่างๆหยหยุดทำงานชั่วคราวไม่ตกอยู่ในความควบคุมหรือชักนำของผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม การเร่งให้ผู้ถูกสะกดจิตอยู่ในภาวะของคนนอนหลับ ก็ยังคงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่งของวิธีการสะกดจิต เพราะในสภาวะคล้ายคนหลับนั้นการต้านทานจะลดน้อยถอยลงพร้อมกับการยอมรับจะ เพิ่มมากขึ้นทำให้ผู้ทำการสะกดสามารถชักจูงให้เกิดเป็นการสะกดจิตได้ง่าย ขึ้น แต่การนอนหลับในการสะกดจิตนั้น แตกต่างจากการนอนหลับธรรมดา แต่การนอนหลับในการสะกดจิตนั้น สามารถเปลี่ยนเป็นการนอนหลับธรรมดาได้ แพทย์สามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ชอบคิดมาก นอนไม่ค่อยหลับให้มาเป็นคนที่นอนหลับง่ายได้ จากสถิตินักสะกดจิตชาวญี่ปุ่นพบว่า ผู้ที่ได้รับการสะกดจิตที่ถูกต้องสามารถออกคำสั่งให้ตนเองหลับได้สนิทภายใน 3 นาทีเท่านั้น

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

การสะกดจิตกับไสยศาสตร์

ในการแสดงการสะกดจิตของนักสะกดจิตผู้หนึ่ง หลังจากที่ผู้แสดงการสะกดจิตได้อธิบายหลักการตลอดจนวิธีการสะกดจิตที่ใช้ให้ผู้เข้าชมฟัง เช่น สั่งให้ร่างกายของผู้ถูกสะกดจิตแข็งเป็นหิน ปรากฏว่าหลังจากทราบคำสั่งแล้วผู้ถูกสะกดจิตแข็งเป็นหินจริงๆ ร่างกายของผู้ถูกสะกดนำไปวางพาดบนเก้าอี้ 2 ตัว โดยให้เก้าอี้ทั้งสองตัวนั้น วางรองที่ศีรษะและปลายเท้า ปรากฏว่าร่างของผู้ถูกสะกดจิตไม่ยุบลงไป ยิ่งไปกว่านั้นผู้ทำการสะกดจิตได้ให้บุคคลอีกคนหนึ่งหนักประมาณ 80 กก. ขึ้นไปยืนบร่างของผู้ถูกสะกดจิต ปรากฏว่าร่างของผู้ถูกสะกดจิตไม่ได้ยุบลงไป สามารถรับน้ำหนัก 80 กก. ได้อย่างสบาย

จากนั้นได้เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เข้าร่วมสาธิตด้วย โดยให้ผู้ชมขึ้นไปบนเวทีสะกดจิตจริง 2-3 คน แล้วผู้ทำการสะกดจิตได้ยื่นหัวหอมใหญ่ให้ผู้ที่ขึ้นไปบนเวทีรับประทาน โดยบอกว่าเป็นส้มเขียวหวานเอร็ดอร่อย และเมื่อผู้ทำการสะกดจิตถามว่าส้มหวานมั๊ย ก็ได้รับคำตอบว่าส้มหวานมาก ซึ่งทำความประหลาดใจแก่ผู้ชมอื่นๆที่ไม่ได้เข้าร่วมการสะกดจิตบนเวทีเป็นอย่างมาก เพราะในสายตาผู้ชมอื่นๆมองเห็นว่า สิ่งที่ผู้สะกดจิตยื่นให้นั้นเป็นหัวหอมใหญ่ไม่ใช่ส้มเขียวหวานเหมือนกับที่ผู้ร่วมสาธิตเข้าใจ

ที่ญี่ปุ่นมีนักสะกดจิตคนหนึ่งได้สะกดให้เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงได้สั่งจิตว่า ต่อแต่นี้ไปให้เข้าใจว่าตนเองคือผู้ชาย สั่งเช่นนี้ไปมา2-3ครั้ง แล้วจึงสั่งให้ลืมตาขึ้น ปรากฏว่าเด็กคนนั้นเปลี่ยนแปลงไป เช่น เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ชาย แสดงความแข็งแรง ขณะที่ทำการสะกดจิตนั้นมีคนมาตามอาจารย์ไปรับโทรศัพท์ปรากฏว่าเมื่ออาจารย์ออกไปแล้ว เด็กคนนั้นได้ไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นประมาณ 2-3 นาที ได้กลับมาเข้าห้องด้วยกระโปรงที่เปียกชุ่ม ภายหลังสอบถามคนทำความสะอาดห้องน้ำบอกว่าเห็นเด็กคนนี้ยืนปัสสาวะเหมือนเช่นผู้ชาย เมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นรู้ความจริงว่าไปปัสสาวะมา กระโปรงจึงเปียกจึงร้องไห้ออกมาด้วยความอับอายเลยทีเดียว

สิ่งที่ได้ปรากฏนี้ เป็นผลมาจากจิตใต้สำนึกได้รับคำสั่งให้เข้าใจผิดในบางสิ่งบางอย่างไปชั่งขณะ หนึ่ง จิตใจ้สำนึกจึงได้สั่งการไปยังสมองใหญ่ซึ่งควบคุมประสาทส่วนต่างๆของร่างกาย ให้ปรับระดับให้สอดคล้องกับความเชื่อหรือความเข้าใจของจิตใต้สำนึก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในที่นั้เป็นผลเนื่องมาจากอวัยวะต่างๆ และฮอร์โมนในร่างกายของผู้ถูกสะกดจิตปรับสภาวะให้อยู่ในลักษณะสมดุชกับจิต ใต้สำนึก มิได้เกิดจากอำนาจเวทมนตร์คาถา หรืออำนาจทางไสยศาสตร์แต่อย่างใดเลย ถ้าเช่นนั้นไสยศาสตร์ก็ไม่ใช่การสะกดจิต การสะกดจิตก็ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เพราะการสำกดจิตเป็นเรื่องที่สามารถใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ สามารถอธิบายหลักของวิชาสรีรศาสตร์ จิตวิทยา และแพทย์ศาสตร์ แต่เราไม่สามารถนำหลักเหล่านี้มาอธิบายหลักของไสยศาสตร์ได้ แต่ภาวะสะกดจิตอาจเกิดจากไสยศาสตร์ได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ยังหาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันและยังไม่สามารถทำเครื่องมือขึ้นมาทดลองได้ เช่น การทำคุณไสย การทำเสน่ห็ หรือการเสกของในชนบท เป็นผลให้ผู้ถูกกระทำมีแาการผิดปกติไปต่างๆนานา เช่น สติวิปลาศไป หรือเจ็บป่วยแต่หาสาเหตุไม่ได้ ผู้ที่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาโดยตรงเท่านั้น จึงกล้ายืนยันถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

ไสย์ศาสตร์มีหลักการบ้างที่เหมือนกับการสะกดจิต แม้ว่าจะไม่ค่อยตรงกันก็ตาม ในเรื่องของตุ๊กตา วูดู ในเรื่องนี้เคยถูกพิสูจน์โดยนายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันมาหลายครั้งแล้ว ในที่สุดฝ่ายทางวิทยาศาสตร์ก็พ่ายแพ้ หาเหตุผลมาอธิบายว่า ทำไมอำนาจลึกลับของตุ๊กตาวูดูจึงทำให้คนตายได้ ใ

ในทวีปแอฟริกา มีคนป่าเผ่าหนึ่งชื่อเผ่าวูดู หัวหน้าเผ่านี้เป็นหมอผีมีอาวุธอย่างหนึ่ง ซึ่งแกะจากไม้อย่างหนึ่งเป็นรูปตุ๊กตา เรียกตุ๊กตานี้ว่า ตุ๊กตาวูดู หัวหน้าเผ่านี้สามารถทำให้คนตายได้ โดยเพียงสลักชื่อบุคคลที่ต้องการให้เขาตายลงไว้บนตุ๊กตา จากนั้นจะให้มีการเต้นรำรอบกองไฟตามความเชื่อของเขา ทุกวันหัวหน้าเผ่าที่เป็นหมอผีจะใช้เข็มแทงลงไปบนตุ๊กตาตรงบริเวณที่ถูกกำหนดให้ว่า เป็นหัวใจวันละเล่มจนครบ 7 วัน เมื่อครบ 7 วันแล้ว ผู้เป็นเจ้าของชื่อจะถึงแก่ความตาย นายเพทย์ผิวขาวหลายคน ได้ทำการพิสูจน์โดยการระดมแพทย์ที่มีคววามรู้ความเชี่ยวชาณคอยดูแลคนป่วยอยู่ตลอดเวลา ส่วนฝ่ายที่ทำพิธีก็ทำต่อไป ปรากฏว่าเมื่อครบ 7 วัน ตามพิธี คนป่วยซึ่งได้รับการดูแลอย่างดีจากแพทย์ผิวขาวถึงแก่ความตายทุกรายโดยหาสาเหตุไม่ได้ ต่อมาวิธีนี้ได้มีผู้พยายามอธิบายหาเหตุผล ในที่สุดได้มีนักจิตเวชศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ให้คำอธิบายด้วยเหตุผลที่เป็นที่ยอกรับกันว่าใกล้เคียงกับความจริงที่สุด และมีทางเป็นไปได้ในทางจิตเวชศาสตร์ โดยตั้งสมมุติฐานว่า จิตใจ้สำนึกของคนเราคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่ากับชีวิต ฉะนั้นถ้าสามารถทำให้จิตใต้สำนึกเชื่ออย่างแน้นแฟ้นว่า ชีวิตเราถูกทำลายแล้วผู้เป็นเข้าของจิตใจ้สำนึกนั้นก็อาจถึงแก่ความตายได้

มีผู้เคยทดลองในต่างประเทศด้วยการนำนักโทษประหารไปชมงูพิษ แล้วบอกนักโทศผู้นั้นว่าเขาจะต้องถูกประหารชีวิต โดยหารให้งูพิษกัด และอธิบายให้ฟังถึงการที่จะต้องทำในการประหารและความร้ายแรงของงูพิษชนิดนั้น จนนักโทษเชื่ออย่างสนิทว่าเชาต้องตายภายในเวลาไม่เกิน 30 วินาที เมื่อถึงกำหนดประหาร ผู้คุมได้ตัดการเอาผ้าผูกตานักโทษไว้ แล้วพามายังห้องประหารที่ได้จัดไว้ โดยบอกนักโทษว่าเขาจะต้องถูกงูพิษกัด เมื่อจับนักโทษมัดไว้กับเก้าอี้แล้ว นายแพทย์ผู้ควบคุมได้ได้ทดลองใช้เข็มแทงเท้าไปที่ขาของนักโทษ โดยทำเหมือนกับว่าโดนงูกัด ปรากฏวานักโทษผู้นั้นร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังและล้มขาดใจตายทันที

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

อันตรายจากการใช้วิชาสะกดจิต

วิชาสะกดจิตหากใชช้ภายในขอบเขตของใันแล้ว กล่าวได้ว่าไม่มีอันตรายใดๆเกิดชึ้นต่อผู้ปฎิบัติ หรือผู้รับการปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าใกลับมีผลดีต่อผู้ปฏิบัติหรือต่อผู้รับการปฏิบัติเย่างเอนกอนันต์ ผัญหามากมายที่ส่งผลกระทบมายังบุคคลต่างๆ ทำให้ขาดความสุขในชีวิต เช่น ปัญหาในเรื่องสุขภาพ ปมด้อย ความกังวลในเรื่องต่างๆ ปัณหาเกี่ยวกับโรคภับไข้เจ็บที่สืบเนื่องมาจากจิตใจต่างๆเหล่านี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการสะกดจิต เมื่อจิตใจมีความสุขแล้ว สิ่งต่างๆที่มากระทบก็เกือบจะไม่มีความหมายเลย อาจกล่าวได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่มีความหมาย ยิ่งกว่าการดำรงชีวิต หรือมีชีวิตอยู่ด้วยควาามสุข ความสุขไม่อาจซื้อได้ ด้วยเงินทอง แต่หาได้จากภายในของจิตใจตนเอง วิธีแสวงหาก็ไม่ยาก เพียงแต่ปรับจิตใจของตนให้มีความสุขเราก็สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขได้ ฉะนั้น ช่วงเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ ทำไมถึงไม่กอบโกยเอาความสุขที่อท้ตริงที่สามารถแสวงหาได้ด้วยตนเองไว้ โดยศึกษาวิธีการสะกดจิตตนเองอย่างง่ายๆ แล้วปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน จิตใจของท่านก็จะมีความสุชสมบูรณ์อย่างชนิดที่เงินทองก็ซื้อไม่ได้

สำหรับอันตรายจากวิชาสะกดจิต ก็อาจมีบ้าง หากผู้ฝึกฝนจะนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรม ซึ่งถือว่าเป็นการผิดหลักทรัพย์หรือจรรยาบรรณของผู้ศึกษาวิชานี้ อันตรายอันเกิดจากการประพฤติปฏิบัตินอกลู่นอกทางนี้ อาจมีได้ในทุกๆอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นหมอ พยาบบาล คนจ่ายยา ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ในหมู่คนดีย่อมมีคนไม่มีแอบแฝงอยู่บ้าง ฉะนั้นหากตะเลิกศึกษาวิชาสะกดจิตโดยเหตุผลที่เป็นวิชาที่อาจก่ออันตรายได้ ก็ควรจะเลิกศึกษาวิชาอื่นๆด้วย เช่น แพทย์ เภสัชกร ฯลฯ เพราะก็เป็นวิชาที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้เหมือนกัน

การศึกษาวิชาสะกดจิตแบ่งได้เป็น 3 ขั้นตอน คือ สะกดจิตตนเอง สะกดจิตผู้อื่นโดยผู้อื่นยินยอม และสะกดจิตผู้อื่นโดยผู้อื่นไม่ยินยอม ปัจจุบันได้มีการศึกษาและค้นคว้ากันอยู่ในสองขั้นตอนแรก เพราะก่อให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติอย่างมาก แต่ในส่วนของขั้นตอนที่ 3 ไม่ค่อยมีการสอนกันเท่าไหร่ นักการฝึกฝนก็ค่อนข้างยากต้องใช้ความอดทนสูง มีผู้ประสบประสบผลสำเร็จในขั้นสูงนี้ไม่มากนัก ฉะนั้นเมื่อกล่าวรวมๆแล้ววิชาสะกดจิตที่ศึกษากันอยู่ในปัจจุบัน จึงส่งเสริมในส่วนที่ในส่วนที่เป็นคุณอย่างเดียว ไม่ก่อให้เกิดโทษหรือผลร้ายอันใดต่อส่วนรวม จึงควรเป็นวิชาที่ได้รับการสนับสนุนให้ศึกษากว่างควางยิ่งขึ้น ในอนาคตอันใกล้ เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาทั้งหลายที่เขามีการศึกษาหรือค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับวิชานี้มาเป็นเวลานานแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

การสะกดจิตลดน้ำหนัก

หลายคนเมื่อได้อ่านหัวข้อนี้แล้ว คงจะสนใจกันเป็นพิเศษใช่ไหมหล่ะ... เราเองก็เหมือนกัน เพราะว่าเราเองก็เป็นคนอ้วน แต่อยากจะลดน้ำหนัก สุดท้ายอดใจไม่ได้เปิดตู้เย็นทุกทีเลย ไม่เปิดตู้เย็นก็ยกหูโทรศัพท์โทรสั่งอาหารมากิน(ด้วยความที่ว่าทำอาหารเองไม่เป็นอ่ะนะ) เอาเป็นว่าเราไม่เสียเวลาพูดมากแล้ว ไปอ่านกันเลยดีกว่าน๊ะ

การสะกดจิตลดน้ำหนักก็คือ การสื่อสารกับจิตใต้สำนึก ให้เกิดความคล้อยตามที่จะมีอาการเบื่ออาการประเถทที่จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรืออาการอยากลดลง เมื่อได้พบอาหารถูกใจที่จะทำให้อ้วน หรือเวลาเครียดก่อนนอนจะรู้สึกเฉยๆ ไม่ทุรนทุรายจนอยากจะกินจนจุก เมื่อผ่านการสะกดจิตเพื่อลดน้ำหนักแล้ว เราจะค่อยๆรู้สึกเฉยเมยต่ออาหารที่ตัวเองเคยชอบมากๆ ที่ทำให้น้ำหนักตัวของเราเพิ่ม จะรู้สึกอื่มหลังจากรับประทานอาหารไปเล็กน้อย ความรู้สึกเหล่านี้จะเกิดขึ้นทีละน้อย โดยที่เราไม่ทันได้สังเกตกระทั่งเวลาผ่านไป 10-15วัน เมื่อเราทบทานเหตุการฯ็ดู จะเริ่มตระหนักด้วยตัวเองว่า ช่วง1-2สัปดาห์ที่ผ่านมา เราสามารถลดปริมาณอาหารที่เคยกินทีละมากๆลงอย่างเห็นได้ชัด ...

มีตัวอย่างบุคคลดังกล่าวสัก 2 คนมาเล่าให้ฟัง จากประสบการณ์ของคนไทยคนแรกที่เปิดชมรมสะกดจิตขึ้นในประเทศไทย...(ข้อมูลหน้านี้มาจากหนังสือละรึกชาติและพบคู่แท้ด้วยตัวคุณเอง ของคุณชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์)

แมนี่กับแต๋งเป็นเพื่อนกัน มีประสบการณ์อ้วนด้วยกันทั้งคู่ แต๋งมีร่างกายสูงใหญ่ แมนี่เป็นคนอวบ ทั้งคู่เคยลดน้ำหนักลงมาด้วยการกินยาลดน้ำหนักสารพัดชนิด ไม่ว่าจากโรงพยาบาลมีชื่อ จากสถานลดน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ ทั้งคู่ยอมรับว่าผลที่เกิดจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำให้ผอมจริง แต่ทั้งคู่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อหยุดยา ก็จะกลับมาอ้วนเหมือนเดินภายในเวลาหนึ่งเดือน แต๋งรู้จักการสะกดจิตเพื่อลดน้ำหนักจากญาติคนหนึ่งซึ่งเคยเจ้าอบรมการสะกดจิตบำบัดขั้นพื้นฐาน ญาติผู้นั้นทำการสะกดจิตโดยใช้คำสั่งหลักๆอยู่ 2 อย่าง คือ ให้ร่างกายย่อยและเผาผลาญอาหารลงให้หมด และหลังรับประทานอาหารไม่เกิน 1 ชั่วโมง ให้เกิดอาการอยากจะขับถ่าย ภายในวันนั้นหลังการสะกดจิต 1 ชั่วโมง แต๋งก็เข้าห้องน้ำด้วยความแฟลกใจ เพราะว่าปกติ เธอจะเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่ายเพียงวันละครั้งในตอนเช้า ด้วยความตื่นเต้น จึงไปบอกเพื่อนๆและเข้ารับการอบรมการสะกดจิตบำบัด พร้อมกับเพื่อนๆถึง 5 ท่าน แต่เฉพีาะแต๋งกับแมนี่เท่านั้นที่ต้องการแก้ปัญหาเรื่องน้ำหนักเป็นอันดับแรก แมนนี่และแต๋งจึงสะกดจิตให้แก่กันในเรื่องการลดน้ำหนัก แต๋งลดได้สัปดาห์ละ 1 กก. จะเพื่อนๆที่ทำงานต่างทักด้วยความแปลกใจ ส่วนแมนี้นั้นยังมีความกังวลกบัวว่าเมื่อน้ำหนักลดแล้ว ร่างกายบางส่วนจะลดน้ำหนักตามไปด้วย เช่น อาจทำให้หน้าอกหรือสะโพกไม่สวย จึงทำได้ไม่เต็มที่ ทั้งคู่โทรฯมาขอคำปรึกษาแนะนำและปฏิบัติใหม่ แต๋งพลว่าวิธีการนี้ดีกว่าการกินยาลดน้ำหน้ก เฑอให้ข้อมูลว่า เคยกินยาประเถททำไม่ให้หิว ประกฏว่าเธอผอมลงจริง แตแก้มและหน้าตาก็ดูผอมซูบลงจนน่าเกลียด และเรี่ยวแรงกำลังวังชาก็ไม่มี ส่วนแมนี่นั้น เมื่อใช้การสะกดจิตตัวเองสามารถลดน้ำหนักลงได้โดยที่สะโพกยังมีขนาดเดิมเท่าที่เธอต้องการ ปัจจุบันทั้งคู่มีความสุขมากกับหุ่นที่ตนเองได้พบ

โมเมเป็นหญิงที่มีหน้าตาสะสวยมาก แต่รูปร่างก็ใหญ่ด้วยเช่นกัน เธอมาขอรับคำปรึกษาในเรื่องการลดน้ำหนัก เพราะเธอพยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีการต่างๆมาหลายปีแล้ว เคยใช้ยาก็สามารถลดน้ำหนักลงได้ แต่ไม่มากอย่างที่ต้องการ และโดยเฉพาะเมื่อหยุดใช้ก็จะอ้วนขึ้นมาอีก เธอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในเรื่องสะกดจิตลดน้ำหนัก และเธอยังไม่อยากอยุดรับประทางของอร่อยๆ (แต่อยากลดน้ำหนัก) เมื่อให้เธอนึกว่าตอนนี้ในตู้เย็นเธอมีอะไรบ้าง เธอบอกว่ามี เอแคร์ ทองหยอด เค้ยใบเตย ช็อกโกและ ฯลฯ เมื่อได้ฟังก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงมีรูปร่างใหญ่โตปานนั้น นอกจากนี้เธอยังมีนิสัยชอบกินขนมขณะทำงานด้วย เรียกว่าท้องไม่เคยว่าง นักสะกดจิตได้ขอทำอะไรที่มีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ คือเพื่อวัดว่าเธอมีความมึ่งมั่นมากน้อยแค่ไหนที่จะลดน้ำหนัก และเธอมีความเชื่อในวิธีการนี้มากเพียงใด นักสะกดจิตได้บอกว่าให้เอาขนมในตู้เย็นไปทิ้ง และเสริมด้วยว่าต้องจำให้เละจนกินไม่ได้ด้วย เธอมีท่าทีปฏิเสธเพราะว่าเสียดาย เธิแย้งวว่าเก็บไว้ในตู้เย็นให้คนอื่นกินให้หมดดีกว่า นักสะกดจิตได้บอกว่าทุกวีนที่เธอเปิดตู้เย็น เธอจะยังคงเห็นของเหล่านั้น และมันจะกระตุ้นเธอให้กลับมากินอีก อาจจะไม่ใช่เพราะอยากกิน แต่เป็นเพราะว่าเสียดาย เธอว่าอย่างนี้เอาไปแจกคนข้างบ้าน นักสะกดจิตได้บอกว่า นี่เป็นกระบวนการหนึ่งที่จะสร้างภาพประทับในจิตใต้สำนึก เธอต้องสร้าภาพว่าสิ่งเหล่านี้คือศัตรูร้าย แล้วเมื่อของเหล่านี้เป็นศัตรูของเธอ ก็ต้องเป็นศัครูของคนอื่นด้วย การเอาไปให้คนอื่นกินก็เท่ากับไปลดความเกลียดชังที่จิตใต้สำนึกจะมีต่อของหวานเหล่านั้น เธอรับปากอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เธอจากไปและไม่กลับมาอีก เพราะเธอไม่มีความเข้มแข็งพอ และแยกแยะไม่ได้ เพราะความจริงแล้วของกินที่มีอยู่ในตู้เย็นนั้นมูลค่าอย่างมากไม่เกินสามพันบาท แต่ว่าค่าอาหารและยาลดความอ้วนนั้นมีมากกว่านั้น

ที่จริงแล้วมีตัวอย่างให้อ่านอีกคนหนึ่ง คนที่จากไปแล้วไม่กลับมาอีกเหมือนกัน แต่ว่าจะแตกต่างกับโมเมที่ว่าเค้าจากไปเพราะว่าสามารถลดน้ำหนักลงได้ และไม่ขึ้นมาอีก...

จริงๆแล้วการสะกดจิตเพื่อลดน้ำหนักก็คือการเข้าไปเปลี่ยนความชอบเป็นไม่ชอบเปลี่ยนความอยากเป็นไม่อยาก ให้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนไม่ชอบอาหารที่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม เปลี่ยนพฤติกรรมที่เวลาเครียดแล้วต้องกิน ให้รู้สึกเฉยๆไม่มีความอยาก หรือให้รู้สึกถึงปริมาณที่พอเหมาะกับอาหารแต่ละมื้อที่เรารับประทานเข้าไป ถ้าเราเรียนรู้การสะกดจิตตัวเองเพื่อลดน้ำหนักได้ เราก็จะสามารถนำมาใช้กับตัวงเองได้ทุกวัน ได้ผลดีและเร็วชนิดลดวันลดคืนเลย โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะไม่ได้เป็นการใช้ยาหรืออดอาหาร ยังกระปรี้กระเปร่ามีน้ำมีนาลเหมือนเดิม เพราะว่าการสะกดจิตนั้น เป็นการเข้าไปเปลี่ยนข้อมูลในจิต ทำให้เราไม่ต้องบังคับใจ ฝีนใจ หรือต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเอง เพราะจิตใจของเราได้ถูกกล่อมด้วยการสะกด ฉะนั้นต้องทำให้จิตใต้สำนึกรับทราบข้อมูลและเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองไปแล้ว จู่ๆวันหนึ่งเราจะรู้สึกว่าข้าวที่ต้องกินมื้อละสองจากนั้นไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะว่าไม่หิว ไอศกรีมที่ต้องกินเป็นควอร์ทไม่ต้องอีกแล้ว เพราะว่าไม่อยาก ก่อนนอนก็จะรู้สึกเฉยๆ ไม่กระสับกระส่ายทุรนทุรายหาอะไรมาใส่ท้อง เราจะกินอาหารแต่พอดี พออิ่มเท่านั้น

** วิธีการมีอยู่แค่นี้ แต่คงต้องผนวกกับประสบการณ์2ประสบการณ์ข้างต้นนะ **

--->เริ่มด้วยวิธีง่ายๆ โดยสั่งกับตัวเองทุกเช้าหลังตื่นนอน หรือก่อนที่จะหลับไปในเวลากลางคืน โดยใช้คำพูดด้านบวกเช่น นับจากวันนี้ ฉันจะลดความอยากอาหารหวานลงได้เรื่อยๆ หรือ นับจากวันนี้ ฉันจะรู้สึกอิ่มทันทีที่กินข้าวเพียงหนึ่งจานในแต่ละมื้อ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะทำได้ถูกต้องหรือไม่ ก็ไปหาซึ้อหนังสือประเภท เทคนิคการสะกดจิตตัวเองหรือเทคนิคการสร้างจินตภาพก็ได้ อย่าท้อถอยละกันที่สำคัญต้องมีความเด็ดเดี่ยว และมั่นคงนะ.. อย่าเพิ่งท้อแท้หล่ะ จะเป็นกำลังใจให้... เราก็จะลองดูด้วย

จำไว้ว่าวิธีการนี้เป็นวิฑีการที่ธรรมชาติที่สุด...กว่ายาลดความอ้วนไหนๆ

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

แบบฝึกหัดก่อนทำการสะกดจิตตัวเอง

ก่อนทำการสะกดจิต เราก็ต้องทำตัวเราเองให้พร้อมเสียก่อนโดยการฝึกหัดสิ่งเหล่านี้

1. การฝึกสูดลมหายใจ การฝึกสูดลมหายใจก็มีส่วนสำคัญทำให้สู่สภาวะหลับลึก และเปิดจิตสำนึกได้ดี ให้ฝึกสูดลมหายใจ เข้าออกปอดช้าๆลึกๆ3ครั้ง เมื่อล้มตัวลงนอนทุกครั้งให้จินตนาการว่าลมหายใจที่เข้าปอดเป็นควันสีขาว ควันสีขาวพวยพุ่งแทรกซึมเข้าไปถึงส่วนใดของร่างกาย ก็รู้สึกสดชื่นดื่มด่ำตรงนั้น ลมหายใจที่ผ่อนออกมาให้จินตนาการว่าเป็นควันสีดำก็เพราะความเหน็ดเหนื่อยท้อแท้ต่างๆในร่างกาย ได้ผสมเข้ากับลมหายใจแล้วกลายเป็นสีดำ และถูกดึงออกมาพร้อมกับลมกายใจ ฉะนั้นยิ่งหายใจจิตใจก็ยิ่งเบิกบาน ยิ่งสูดลมหายใจก็ยิ่งรู้สึกอิ่มใจ ยิ่งสูดลมกายใจออกก็ยิ่งรู้สึกสดชื่นมีกำลังใจ จะฝึกอย่างนี้อยู่ทุกวันก็ได้ แล้วจะฝึกทุกที่ทุกเวลาก็ได้ เพียงแต่จินตนาการถึงควันดำควันขาวที่ออกในร่างกาย เราก็จะสดชื่นและมีกำลังทำงานอย่างกระปี้กระเปร่าทุกวัน

2. ฝึกมอง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การสะกดจิตตัวเอง เมื่อเราล้มตัวลงนอนในบรรยากาษและสถาะแวดล้อมที่เหมาะสม โดยมีแสงไฟสลัวๆ ให้นึกถึงว่าตนเองกำลังง่วงนอน กำลังอ่อนเพลีบลงทุกขณะมีความรู้สึกอยากจะพักผ่อน แต่ฝืนไว้ไม่ยอกหลับตา ให้มองไปที่วัตถุใดวัตถุหนึ่งที่มีระยะความห่างไม่เกิน 2 เมตร ให้มองเหมือนเรากวาดสายตาไปที่ใดที่หนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ มองไปเฉยๆไม่จ้องไม่เพ่ง พินิจพิจารณาสิ่งของนั้น มองอย่างว่างเปล่า แต่ใจนึกถึงแต่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแยากจะนอน อยากจะพักผ่อน เมื่อสายตาเมื่อยล้าก็อยากพักสายตาหรือเปลี่ยนไปมองอย่างอื่น ให้มองไปเรื่องๆและในใจก็นึกแต่การอยากนอนอยากพักผ่อน เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งซึ่งไม่แน่นอน อาจจะภายใน2-3นาที หรือ 10 นาที เราจะรู้สึกเมื่อยล้าสายตา เราจะเริ่มฝืนตัวเองที่จะเปิดเหลือกตาไว้ไม่ไหว เมื่อถึงจุดนั้นแล้วเราก็จะเริ่งที่จะค่อยๆปิดเปลือกตาลงช้าๆ เมื่อเราหลับตาลงสนิทแล้ว เราจะรู้สักมีความสุขและสบายใจที่ได้ปิดเปลือกตาลง ถ้าจนแล้วจนรอดมองวัตถุต่างๆแล้วก็ยังไม่เป็นรู้สึกอะไรหรือหมดความอดทนเสียก่อน หรือมัวแต่ไปคิดเรื่งนั้นเรื่องนี้แทนที่จะได้คิดถึงเรื่องที่อยากจะนอน เราก็ไม่สามารถผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ และก็จะฝึกเรื่องสะกดจิตตัวเองไม่ได้ ให้ค่อยๆทดลองไป อย่าใจร้อน ใช้เวลาก่อนนอนสัก7วันต้องเห็นผลถ้าแต่ละคืนไม่สำเหร็จ ให้ทดลองอีกไม่เกิน2ครั้ง เกินจากนี้จะเริ่มเครียด จะวู่วาม ถ้าไม่สำเร็จให้อยุดคิดเรื่องต่างๆ 1 นาทีแล้วทำ

3. ฝึกเข้าสู่ประสบการณ์หลับแบบดำดิ่งลึก ต้องฝึกขั้นที่2ให้ได้ก่อนแล้วถึงมาขั้นนี้ได้ เพราะจะทำได้ในช่วงที่ต่อเนื่องกัน เมื่อเราเข้าสู่การฝึกมองและปิดเปลือกตาลงอย่างมีความสุขแล้ว ให้จินตนาการถึงกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือให้เอามาประยุกต์ตามอย่างที่ตัวเองชอบและพอใจ ดังนี้ (เลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่าจินตนาการทีละหลายเรื่องพร้อมกัน)

1. จินตนาการว่าตัวเองไหลไปตามท่อขดวงรูปเหลียด และไหลวนอยู่อย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุด

2. จินตนาการว่าตัวเองอยู่ในลิฟท์ชั้นที่100กำลังลงมาชั้นที่1

3. จินตนาการว่าตัวเองกำลังยืนที่บันไดเลื่อน บันไดเลื่อนกำลังเคลื่อนลงมาช้าๆ

4. จินตนาการว่ากำลังเดินอยู่กลางหาดทรายท่ามกลางแสงจันทร์

5. จินตนาการว่ากำลังว่ายน้ำไปข้างหน้า จะเป็นในแม่น้ำหรือทะเลก็ได้ โดยมีเป้าหมายคือว่ายตรงไปหน้าแสงจันทร์

6. จินตนาการว่ากำลังนั่งดูน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกและกำลังไหลห่างเราออกไป

ให้จินตนาการอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เปิดจิตใต้สำนึก ควรอยู่ในบรรยากาษที่เย็นสบายแสงสลัวๆ แลัหากรู้สึกกลัง เปลี่ยวและเหงา อาจจะจินตนาการว่ามีเพื่อนหรือคนรักหรือคนที่เราไว้วางใจร่วมเดินทางไปกับเราด้วยก็ได้ ให้ฝึกทำอย่างนี้ให้บ่อยและให้นานมากที่สุด เราจะรู้ด้วยตัวเองว่าเรารู้สึกอิ่มใจสบายใจและมีความสุขที่จะเพลิดเพลินไปกับจินตนาการนี้

เมื่อคุณสามารถฝึกได้ทั้ง 3 อย่างเป็นอย่างดีแล้ว ก็จงเตรียมพร้อมที่จะสะกดจิตตนเอง เพื่อเปิดจิตใต้สำนึกและสร้างข้อมุลเพื่อการสร้างสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

วิธีการสะกดจิตตนเอง

การฝึกแบ่งเป็น 2 ประเภท

1. ท่าฝึกหลักสำหนับการฝึกตามกำหนดเวลา แบ่งได้เป็น2ขั้นคือ

ขึ้นที่1 ให้ผู้ฝึกทำการฝึกสร้างปราณให้เสร็จสิ้นเสียก่อน วิธีการฝึกตลอดจนจำนวนครั้งที่ฝึก ควรใช้วิธีฝึกสร้างปราณด้วยท่านอนเท่านั้น เว้นแต่มีเหตุจำเป็นฝึกท่านอนไม่ได้ให้ใช้ท่านั่งแทน

ขึ้นที่2 เป็นขั้นสั่งจิตใต้สำนึก เมื่อผู้ฝึกสร้างปราณเสร็จแล้วให้ทำการฝึกขึ้นที่2 ต่อไปทันทีไม่ต้องหยุดพัก มีลำดับการฝึกดังนี้

1. นอนหงาย แขนขาเหยียดยาวไปตามธรรมชาติ เท้าทั้งสองแยกห่างกันเล็กน้อยพอสบาย แขนทั่งสองวางอยู่ข้างลำตัว ห่างจากลำต้วเล็กน้อย ฝ่ามือทั้ง2หงายขึ้น ปล่อยให้นิ้วมืองอเข้าหาฝ่ามือเล็กน้อยตามธรรมชาติ ไม่ต้องออกแรกกำนิ้วมือ ศีรษะต้องไม่หนถนหมอน

2. หลับตาเบาๆทำจิตใจให้สบายประมาณสัก 5 วินาที

3. ให้ใช้ความรู้สึกพร้อมด้วยจินตภาพไปยังมือขวาหรือแขนขวาด้วยก็ได้ ให้รู้สึกว่ามือขวานั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับสร้างจินตภาพว่าที่มือขวานั้นมีแผ่นเหล็กวางซ้อนกันอยู่หลายชั้น จึงทำให้มือขวาหนัก ความรู้สึกและจินตภาพเช่นนี้ให้สร้างหรือมีอยู่เพียง 5 วินาที ไม่ควรเกินกว่านั้น ในระยะเริ่มแรกอาจจะทำภายในกำหนดเวลาไม่ได้เพราะยังไม่เคยชิน แต่เมื่อฝึกไปเรื่อยๆจะเกิดความเคยชินและทำได้ครบถ้วนภายในเวลาดังกล่าว

4. เปลี่ยนจากมือขวาหรือแขนขวาไปยังมือซ้ายหรือแขนซ้าย แล้วปฏิบัติเช่นเดียวกัน ใช้เวลาไม่เกิน 5 วินาทีโดยประมาณ

5. ให้ใช้ความรู้สึกพร้อมด้วยจิตรตภาพไปยังขาขวาหรือเท้าขวาตั้งแต่ข้อเท้าลงไป ให้รู้สักว่าเท้าขวานั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับสร้างจินตภาพว่า ที่ข้อเท้าขวานั้นถูกผูกและล่ามไว้ด้วยลูกเหล็ก ลูกเหล็กขนาดใหญ่ห้อยลงข้างล่าง ดึงให้เท้าขวารู้สึกหนัก ให้พยายามรู้สึกให้ได้ว่าเท้าขวานั้นหนักจริงๆ นึกเข่นนี้อยู่สักประมาณ 5 วินาที

6. เปลี่ยนจากเท้าขวาไปยังเท้าซ้าย แล้วปฏิบัติเช่นเดียวกัน ใช้เวลาไม่เกิน 5 วินาที

7. ให้ความรู้สึกหร้อมด้วยจินตภาพกลับไปยังมือขวาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ให้รู้สึกว่ามือขวาร้อนขึ้นและร้อนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับจินตภาพว่า ภายในเท้าขวามีขดลวดทำความร้อนอยู่ ขดลวดกำลังลุกแดง เท้าขวาจคงรู้สึกร้อน ให้นึกและสร้างจินตภาพเช่นนี้ประมาณ 5 วินาที

8. เปลี่ยนจากมือขวาเป็นซ้าย แล้วปฏิบัติเช่นเดียวกับใช้เวลาไม่เกิน 5 วินาที

9. ให้ใช้ความรู้สึกพร้อมด้วยจินตภาพกลับไปยังชาขวาหรือเท้าขวาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ให้รู้สึกว่าเท้าขวาร้อนขึ้น และร้อนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับจินตภาพว่า ภายในเท้าขวามีขดลวดทำความร้อนอยู่ ขดลวดกำลังลุกแดงเท้าขวาจึงรู้สึกร้อน ให้นึกและสร้างจิรคภาพเช่นนี้ประมาษ 5 วินาที

10. เปลี่ยนจากเท้าขวามาเป็นเท้าซ้าย ปล้วแฏิบัติเช่นเดียวกันใช้เวลาไม่เกิน 5 วินาที

11. ให้ความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจ ให้รู้สึกว่าลมหายใจเบา สบายละเอียด ใช้ความรู้สึกและความนึกคิดอยู่ที่ลมหายใจนี้ประมาณ 5 วินาที

12. ให้ความรู้สึกอยู่ที่จิตใจ ให้รู้สึกว่าจิตใจของเราสลาย ผ่อนคลายมีความสุขอย่างยิ่ง ใช้ความรู้สึกและความนึกคิดอยู่ที่จิตใจเช่นนี้ประมาณ 5 วินาที

---> เมื่อมาถึงจุดนี้ บางคนอาจจะรู้สึกว่าจิตใจและร่างกายสบาย สมองปลอดโปร่งเบาสบาย จิตตกอยู่ในภวังค์ และรู้สึกว่าอยากนอนอยู่ในท่านี้ตลอดไป อาจจะปล่อยให้ร่างกายพักผ่อนอยู่ในนลักษณะนี้ต่อไปก็ได้ เมื่อได้พักผ่อนได้ตามสมควรแล้ว จิตของคุณอาจจะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้งหนึ่ง ถึงตอนนี้ให้ฝึกขั้นตอนต่อไปได้เลย ส่วนผู้ที่ยังไม่ตกอยู่ในภวังค์ก็ให้ฝึกต่อไปอีก

13. ให้ใช้ความรู้สึกพร้อมด้วยจินตภาพไปอยู่ที่บริเวณท้อง ให้ทำความรู้สึกให้ได้ว่าท้องร้องขึ้น ท้องร้อนขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับจินตภาพว่า ภายในท้องมีขดลวดทำความร้อนขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ ขดลวดกำลังลุกแดง ท้องจึงรู้สึกร้อง ให้นึกและสร้างจินตภาพประมาณ 5 วินาที

14. ให้ใช้ความรู้สึกพร้อมด้วยจินตภาพไปอยู่ที่หน้าผากให้ทำความรู้สึกว่า หร้าผากเย็นลง หน้าผากเย็นลง หร้อมกับจินตภาพว่า บนหน้าผากมีก้อนน้ำแข็งวางอยู่ก้อนหนึ่ง หน้าผากจึงเย็น

15. ให้ใช่ความรู้สึกพร้อมด้วยจินตภาพเห็นตัวเองกำลังยือหันหลังอยู่บนบันไดขึ้นที่ 20 และท่านกำลังเดินถอยลงมาทีละขึ้น ทีละขึ้นอย่างช้าๆ ให้นับถอยหลังในใจ พร้อมกับจินตภาพว่าท่านถอยหลังลงบันไดมาเรื่อยๆ จาก 20-19-18-17-16-15....จนถึงพื้นคือ0

ในขณะทีเดินลงบันได ให้ใช้ความรู้สึกไปด้วยว่าตัวเบาลง และกำลังของตนเองลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงศูนย์ หมายถึงว่า ท่านไม่มีกำลังในร่างกายเหลืออยู่อีก เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องนอนอยู่ในท่านั้นตลอดไป

เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว โดยปกติร่างกายและจิตใจจะถึงจถดแห่งภาวะสมดุลหมายความว่า ท่านพร้อมแล้วที่จะสั่งจิตใต้สำนึกของตนเอง และจิตใต้สำนึกของท่านก็พร้อมแล้วที่จะรับคำสั่งของท่าน การสั่งจิตใต้สำนึก ถ้าจะให้ได้ผลดี ควรสั่งเพียงเรื่องเดียวต่อการสะกดจิตตนเอง 1 ครั้ง และไม่ควรให้เกินกว่า 3 เรื่องเพราะจิตใต้สำนึกมีคุณสมบัติทำงานได้ทีละอย่างเท่านั้น

ตัวอย่างการสั่งจิตใต้สำนึก---> อาทิตย์หน้าจะเอามาลงให้ โทษทีจ้าไม่มีเวลา

2. ท่าฝึกในช่วงเวลาว่างมีอยู่ 3 ท่าคือ

1. สร้างลมปราณในท่านั่งให้เสร็จสิ้นเสียก่อน วิธีการฝึกตลอดจนจำนวนครั้งที่ฝึก

2. เป็นขั้นคำสั่งจิตใต้สำนึก เมื่อผู้ฝึกสร้างลมปราณเสร็จแล้ว ให้ทำการผุกขึ้นที่ 2 โดยไม่ต้องอยุดพัก

นั่งอยู่บนเก้าอี้ จะมีพนักพิงหรือไม่ก็ได้ จะกระทำที่ไหนก็ได้ เช่น ที่บ้าน ที่ทำงาน บนรถเมล์ บนรถไฟ นั่งในอริยาบถสบาย ๆ หลังจะพิงหรือไม่ก็ได้ ปล่อยเท้างาวราบลงบนพื้น ฝ่าเท้าควรวางไว้พอดีกับพื้น ถ้าเท้าไม่ถึงพื้นให้หาหมอนหรือไม้มารองเท้าพอให้วางเท้าได้พอดี เท้าทั้งสองข้างวางห่างกันเล็กน้อยตามธรรมชาติ ปล่อยจิตใจให้สบาย หลับตาลงเบาๆ ทำจิตใจให้สบายสัก 5 วินาที แล้วเริ่มฝึกปฏิยัติตามขึ้นตอนเหมือนกับการฝึกในท่านอน

3. เป็นขั้นสั่งให้ตื่นขึ้นเมื่อต้องการให้เลิกฝึก ให้นับ1-10ในใจ โดยแบ่งช่วงการนับออกเป็น 4 ช่วง เหมือนกับการสั่งให้ตื่นจากการฝึกในท่านอน

การสะกดจิตตัวเองอาจทำในท่านอนก็ได้ แต่ไม่ค่อยเกิดผลมากนักจึงไม่แนะนำให้ฝึก หากท่านสามารถปฏิบัติด้วยทาานอนสม่ำเสมอทุกวันอย่างน้อยวันละ1ครั้งได้แล้ว ก็นับว่าเป็นการเพียงพอสำหรับการฝึกในวันหนึ่งๆ ขัอสำคัญขอให้ทำใจในเบื้องต้นว่า การฝึกสะกดจิตจะต้องค่อยเป็นค่อยไป และใจเย็น ๆ ไม่ควรใจร้อนหวังผล ยิ่งใจร้อนสภาวะสมดุลยิ่งเกิดยาก ผลที่ได้ก็จะยากขึ้นด้วย ค่อยๆฝึกไป อย่ารีบร้อน แล้วจะเห็นผลของวิชานี้เอง

สะกดจิตระลึกชาติ

การสะกดจิตระลึกชาติ เหมือนการเดินทางไปในสถานที่หนึ่งที่ห่างไกลไม่มีใครเคยเห็นและรู้จักด้วยมโนจิต หรืออาจจะเคยเป็นแต่เคยไปแล้ว จำไม่ได้ เราอาจกลัว ระแวง หรือบางทีอาจได้เห็นภาพที่ไม่พึงปรารถนา ถ้าแน่ใจว่าใจว่าจิตใจสงบพอ เป็นคนใจแข็งพอ... คุณทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใส่ใจสภาพแวดล้อมนัก แต่หากไม่แน่ใจอาจลองทำตอนกลางวัน หรือให้มีใครที่เราไว้ใจอยู่ใกล้ๆก็จะทำให้เราสบายใจขึ้น แต่ไม่ว่าจะเกินอะไรขึ้น ภาพที่เราเห็นไม่ว่าจะเป็กนเหตุการณ์ในด้านบวกหรือด้านลบ ขอเพียงให้เราคิดว่าเราดูภาพนิ่ง ละคร หรือภาพยนตร์ เรื่องหนึ่งที่ให้ความรู้สึกในการชมกินใจลึกซึ้งกว่าปกติเท่านั้นเอง ภาะเหล่านั้นจะไม่ก่อผลด้านลบหรือทำอันตรายใดๆ กับเรานอกจากจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเข้าใจชีวิตมากขึ้น มีโอกาสพัฒนาและหรับปรุงตัวเองหรือเข้าใจวิถีทางที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดบกหร่องบางอย่างในอดีตได้ สรุปคือมีแต่สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นแก่เรา

ถ้าคุณหร้อมกับสิ่งเหล่านี้แล้วเตรียมตัวพบกับการสะกดจิตตัวเอง...

1. เตรียมตัวสะกดจิตตัวเอง

2. สะกดตัวเองเข้าสู่ภวังค์

3. ทดสอบตัวเองเข้าสู่เสมือนภาวะหลับลึก

4. นำการสร้างจินตนาการ

5. เข้าสู่ชาติภพต่างๆ

6. กลับคืนสู่ปัจจุบัน

7. คืนจากการสะกดจิต

  © Blogger template 'Isolation' by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP