วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

การสะกดจิตลดน้ำหนัก

หลายคนเมื่อได้อ่านหัวข้อนี้แล้ว คงจะสนใจกันเป็นพิเศษใช่ไหมหล่ะ... เราเองก็เหมือนกัน เพราะว่าเราเองก็เป็นคนอ้วน แต่อยากจะลดน้ำหนัก สุดท้ายอดใจไม่ได้เปิดตู้เย็นทุกทีเลย ไม่เปิดตู้เย็นก็ยกหูโทรศัพท์โทรสั่งอาหารมากิน(ด้วยความที่ว่าทำอาหารเองไม่เป็นอ่ะนะ) เอาเป็นว่าเราไม่เสียเวลาพูดมากแล้ว ไปอ่านกันเลยดีกว่าน๊ะ

การสะกดจิตลดน้ำหนักก็คือ การสื่อสารกับจิตใต้สำนึก ให้เกิดความคล้อยตามที่จะมีอาการเบื่ออาการประเถทที่จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรืออาการอยากลดลง เมื่อได้พบอาหารถูกใจที่จะทำให้อ้วน หรือเวลาเครียดก่อนนอนจะรู้สึกเฉยๆ ไม่ทุรนทุรายจนอยากจะกินจนจุก เมื่อผ่านการสะกดจิตเพื่อลดน้ำหนักแล้ว เราจะค่อยๆรู้สึกเฉยเมยต่ออาหารที่ตัวเองเคยชอบมากๆ ที่ทำให้น้ำหนักตัวของเราเพิ่ม จะรู้สึกอื่มหลังจากรับประทานอาหารไปเล็กน้อย ความรู้สึกเหล่านี้จะเกิดขึ้นทีละน้อย โดยที่เราไม่ทันได้สังเกตกระทั่งเวลาผ่านไป 10-15วัน เมื่อเราทบทานเหตุการฯ็ดู จะเริ่มตระหนักด้วยตัวเองว่า ช่วง1-2สัปดาห์ที่ผ่านมา เราสามารถลดปริมาณอาหารที่เคยกินทีละมากๆลงอย่างเห็นได้ชัด ...

มีตัวอย่างบุคคลดังกล่าวสัก 2 คนมาเล่าให้ฟัง จากประสบการณ์ของคนไทยคนแรกที่เปิดชมรมสะกดจิตขึ้นในประเทศไทย...(ข้อมูลหน้านี้มาจากหนังสือละรึกชาติและพบคู่แท้ด้วยตัวคุณเอง ของคุณชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์)

แมนี่กับแต๋งเป็นเพื่อนกัน มีประสบการณ์อ้วนด้วยกันทั้งคู่ แต๋งมีร่างกายสูงใหญ่ แมนี่เป็นคนอวบ ทั้งคู่เคยลดน้ำหนักลงมาด้วยการกินยาลดน้ำหนักสารพัดชนิด ไม่ว่าจากโรงพยาบาลมีชื่อ จากสถานลดน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ ทั้งคู่ยอมรับว่าผลที่เกิดจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำให้ผอมจริง แต่ทั้งคู่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อหยุดยา ก็จะกลับมาอ้วนเหมือนเดินภายในเวลาหนึ่งเดือน แต๋งรู้จักการสะกดจิตเพื่อลดน้ำหนักจากญาติคนหนึ่งซึ่งเคยเจ้าอบรมการสะกดจิตบำบัดขั้นพื้นฐาน ญาติผู้นั้นทำการสะกดจิตโดยใช้คำสั่งหลักๆอยู่ 2 อย่าง คือ ให้ร่างกายย่อยและเผาผลาญอาหารลงให้หมด และหลังรับประทานอาหารไม่เกิน 1 ชั่วโมง ให้เกิดอาการอยากจะขับถ่าย ภายในวันนั้นหลังการสะกดจิต 1 ชั่วโมง แต๋งก็เข้าห้องน้ำด้วยความแฟลกใจ เพราะว่าปกติ เธอจะเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่ายเพียงวันละครั้งในตอนเช้า ด้วยความตื่นเต้น จึงไปบอกเพื่อนๆและเข้ารับการอบรมการสะกดจิตบำบัด พร้อมกับเพื่อนๆถึง 5 ท่าน แต่เฉพีาะแต๋งกับแมนี่เท่านั้นที่ต้องการแก้ปัญหาเรื่องน้ำหนักเป็นอันดับแรก แมนนี่และแต๋งจึงสะกดจิตให้แก่กันในเรื่องการลดน้ำหนัก แต๋งลดได้สัปดาห์ละ 1 กก. จะเพื่อนๆที่ทำงานต่างทักด้วยความแปลกใจ ส่วนแมนี้นั้นยังมีความกังวลกบัวว่าเมื่อน้ำหนักลดแล้ว ร่างกายบางส่วนจะลดน้ำหนักตามไปด้วย เช่น อาจทำให้หน้าอกหรือสะโพกไม่สวย จึงทำได้ไม่เต็มที่ ทั้งคู่โทรฯมาขอคำปรึกษาแนะนำและปฏิบัติใหม่ แต๋งพลว่าวิธีการนี้ดีกว่าการกินยาลดน้ำหน้ก เฑอให้ข้อมูลว่า เคยกินยาประเถททำไม่ให้หิว ประกฏว่าเธอผอมลงจริง แตแก้มและหน้าตาก็ดูผอมซูบลงจนน่าเกลียด และเรี่ยวแรงกำลังวังชาก็ไม่มี ส่วนแมนี่นั้น เมื่อใช้การสะกดจิตตัวเองสามารถลดน้ำหนักลงได้โดยที่สะโพกยังมีขนาดเดิมเท่าที่เธอต้องการ ปัจจุบันทั้งคู่มีความสุขมากกับหุ่นที่ตนเองได้พบ

โมเมเป็นหญิงที่มีหน้าตาสะสวยมาก แต่รูปร่างก็ใหญ่ด้วยเช่นกัน เธอมาขอรับคำปรึกษาในเรื่องการลดน้ำหนัก เพราะเธอพยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีการต่างๆมาหลายปีแล้ว เคยใช้ยาก็สามารถลดน้ำหนักลงได้ แต่ไม่มากอย่างที่ต้องการ และโดยเฉพาะเมื่อหยุดใช้ก็จะอ้วนขึ้นมาอีก เธอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในเรื่องสะกดจิตลดน้ำหนัก และเธอยังไม่อยากอยุดรับประทางของอร่อยๆ (แต่อยากลดน้ำหนัก) เมื่อให้เธอนึกว่าตอนนี้ในตู้เย็นเธอมีอะไรบ้าง เธอบอกว่ามี เอแคร์ ทองหยอด เค้ยใบเตย ช็อกโกและ ฯลฯ เมื่อได้ฟังก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงมีรูปร่างใหญ่โตปานนั้น นอกจากนี้เธอยังมีนิสัยชอบกินขนมขณะทำงานด้วย เรียกว่าท้องไม่เคยว่าง นักสะกดจิตได้ขอทำอะไรที่มีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ คือเพื่อวัดว่าเธอมีความมึ่งมั่นมากน้อยแค่ไหนที่จะลดน้ำหนัก และเธอมีความเชื่อในวิธีการนี้มากเพียงใด นักสะกดจิตได้บอกว่าให้เอาขนมในตู้เย็นไปทิ้ง และเสริมด้วยว่าต้องจำให้เละจนกินไม่ได้ด้วย เธอมีท่าทีปฏิเสธเพราะว่าเสียดาย เธิแย้งวว่าเก็บไว้ในตู้เย็นให้คนอื่นกินให้หมดดีกว่า นักสะกดจิตได้บอกว่าทุกวีนที่เธอเปิดตู้เย็น เธอจะยังคงเห็นของเหล่านั้น และมันจะกระตุ้นเธอให้กลับมากินอีก อาจจะไม่ใช่เพราะอยากกิน แต่เป็นเพราะว่าเสียดาย เธอว่าอย่างนี้เอาไปแจกคนข้างบ้าน นักสะกดจิตได้บอกว่า นี่เป็นกระบวนการหนึ่งที่จะสร้างภาพประทับในจิตใต้สำนึก เธอต้องสร้าภาพว่าสิ่งเหล่านี้คือศัตรูร้าย แล้วเมื่อของเหล่านี้เป็นศัตรูของเธอ ก็ต้องเป็นศัครูของคนอื่นด้วย การเอาไปให้คนอื่นกินก็เท่ากับไปลดความเกลียดชังที่จิตใต้สำนึกจะมีต่อของหวานเหล่านั้น เธอรับปากอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เธอจากไปและไม่กลับมาอีก เพราะเธอไม่มีความเข้มแข็งพอ และแยกแยะไม่ได้ เพราะความจริงแล้วของกินที่มีอยู่ในตู้เย็นนั้นมูลค่าอย่างมากไม่เกินสามพันบาท แต่ว่าค่าอาหารและยาลดความอ้วนนั้นมีมากกว่านั้น

ที่จริงแล้วมีตัวอย่างให้อ่านอีกคนหนึ่ง คนที่จากไปแล้วไม่กลับมาอีกเหมือนกัน แต่ว่าจะแตกต่างกับโมเมที่ว่าเค้าจากไปเพราะว่าสามารถลดน้ำหนักลงได้ และไม่ขึ้นมาอีก...

จริงๆแล้วการสะกดจิตเพื่อลดน้ำหนักก็คือการเข้าไปเปลี่ยนความชอบเป็นไม่ชอบเปลี่ยนความอยากเป็นไม่อยาก ให้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนไม่ชอบอาหารที่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม เปลี่ยนพฤติกรรมที่เวลาเครียดแล้วต้องกิน ให้รู้สึกเฉยๆไม่มีความอยาก หรือให้รู้สึกถึงปริมาณที่พอเหมาะกับอาหารแต่ละมื้อที่เรารับประทานเข้าไป ถ้าเราเรียนรู้การสะกดจิตตัวเองเพื่อลดน้ำหนักได้ เราก็จะสามารถนำมาใช้กับตัวงเองได้ทุกวัน ได้ผลดีและเร็วชนิดลดวันลดคืนเลย โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะไม่ได้เป็นการใช้ยาหรืออดอาหาร ยังกระปรี้กระเปร่ามีน้ำมีนาลเหมือนเดิม เพราะว่าการสะกดจิตนั้น เป็นการเข้าไปเปลี่ยนข้อมูลในจิต ทำให้เราไม่ต้องบังคับใจ ฝีนใจ หรือต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเอง เพราะจิตใจของเราได้ถูกกล่อมด้วยการสะกด ฉะนั้นต้องทำให้จิตใต้สำนึกรับทราบข้อมูลและเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองไปแล้ว จู่ๆวันหนึ่งเราจะรู้สึกว่าข้าวที่ต้องกินมื้อละสองจากนั้นไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะว่าไม่หิว ไอศกรีมที่ต้องกินเป็นควอร์ทไม่ต้องอีกแล้ว เพราะว่าไม่อยาก ก่อนนอนก็จะรู้สึกเฉยๆ ไม่กระสับกระส่ายทุรนทุรายหาอะไรมาใส่ท้อง เราจะกินอาหารแต่พอดี พออิ่มเท่านั้น

** วิธีการมีอยู่แค่นี้ แต่คงต้องผนวกกับประสบการณ์2ประสบการณ์ข้างต้นนะ **

--->เริ่มด้วยวิธีง่ายๆ โดยสั่งกับตัวเองทุกเช้าหลังตื่นนอน หรือก่อนที่จะหลับไปในเวลากลางคืน โดยใช้คำพูดด้านบวกเช่น นับจากวันนี้ ฉันจะลดความอยากอาหารหวานลงได้เรื่อยๆ หรือ นับจากวันนี้ ฉันจะรู้สึกอิ่มทันทีที่กินข้าวเพียงหนึ่งจานในแต่ละมื้อ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะทำได้ถูกต้องหรือไม่ ก็ไปหาซึ้อหนังสือประเภท เทคนิคการสะกดจิตตัวเองหรือเทคนิคการสร้างจินตภาพก็ได้ อย่าท้อถอยละกันที่สำคัญต้องมีความเด็ดเดี่ยว และมั่นคงนะ.. อย่าเพิ่งท้อแท้หล่ะ จะเป็นกำลังใจให้... เราก็จะลองดูด้วย

จำไว้ว่าวิธีการนี้เป็นวิฑีการที่ธรรมชาติที่สุด...กว่ายาลดความอ้วนไหนๆ

0 ความคิดเห็น:

  © Blogger template 'Isolation' by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP