วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

การสะกดจิตกับไสยศาสตร์

ในการแสดงการสะกดจิตของนักสะกดจิตผู้หนึ่ง หลังจากที่ผู้แสดงการสะกดจิตได้อธิบายหลักการตลอดจนวิธีการสะกดจิตที่ใช้ให้ผู้เข้าชมฟัง เช่น สั่งให้ร่างกายของผู้ถูกสะกดจิตแข็งเป็นหิน ปรากฏว่าหลังจากทราบคำสั่งแล้วผู้ถูกสะกดจิตแข็งเป็นหินจริงๆ ร่างกายของผู้ถูกสะกดนำไปวางพาดบนเก้าอี้ 2 ตัว โดยให้เก้าอี้ทั้งสองตัวนั้น วางรองที่ศีรษะและปลายเท้า ปรากฏว่าร่างของผู้ถูกสะกดจิตไม่ยุบลงไป ยิ่งไปกว่านั้นผู้ทำการสะกดจิตได้ให้บุคคลอีกคนหนึ่งหนักประมาณ 80 กก. ขึ้นไปยืนบร่างของผู้ถูกสะกดจิต ปรากฏว่าร่างของผู้ถูกสะกดจิตไม่ได้ยุบลงไป สามารถรับน้ำหนัก 80 กก. ได้อย่างสบาย

จากนั้นได้เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เข้าร่วมสาธิตด้วย โดยให้ผู้ชมขึ้นไปบนเวทีสะกดจิตจริง 2-3 คน แล้วผู้ทำการสะกดจิตได้ยื่นหัวหอมใหญ่ให้ผู้ที่ขึ้นไปบนเวทีรับประทาน โดยบอกว่าเป็นส้มเขียวหวานเอร็ดอร่อย และเมื่อผู้ทำการสะกดจิตถามว่าส้มหวานมั๊ย ก็ได้รับคำตอบว่าส้มหวานมาก ซึ่งทำความประหลาดใจแก่ผู้ชมอื่นๆที่ไม่ได้เข้าร่วมการสะกดจิตบนเวทีเป็นอย่างมาก เพราะในสายตาผู้ชมอื่นๆมองเห็นว่า สิ่งที่ผู้สะกดจิตยื่นให้นั้นเป็นหัวหอมใหญ่ไม่ใช่ส้มเขียวหวานเหมือนกับที่ผู้ร่วมสาธิตเข้าใจ

ที่ญี่ปุ่นมีนักสะกดจิตคนหนึ่งได้สะกดให้เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงได้สั่งจิตว่า ต่อแต่นี้ไปให้เข้าใจว่าตนเองคือผู้ชาย สั่งเช่นนี้ไปมา2-3ครั้ง แล้วจึงสั่งให้ลืมตาขึ้น ปรากฏว่าเด็กคนนั้นเปลี่ยนแปลงไป เช่น เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ชาย แสดงความแข็งแรง ขณะที่ทำการสะกดจิตนั้นมีคนมาตามอาจารย์ไปรับโทรศัพท์ปรากฏว่าเมื่ออาจารย์ออกไปแล้ว เด็กคนนั้นได้ไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นประมาณ 2-3 นาที ได้กลับมาเข้าห้องด้วยกระโปรงที่เปียกชุ่ม ภายหลังสอบถามคนทำความสะอาดห้องน้ำบอกว่าเห็นเด็กคนนี้ยืนปัสสาวะเหมือนเช่นผู้ชาย เมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นรู้ความจริงว่าไปปัสสาวะมา กระโปรงจึงเปียกจึงร้องไห้ออกมาด้วยความอับอายเลยทีเดียว

สิ่งที่ได้ปรากฏนี้ เป็นผลมาจากจิตใต้สำนึกได้รับคำสั่งให้เข้าใจผิดในบางสิ่งบางอย่างไปชั่งขณะ หนึ่ง จิตใจ้สำนึกจึงได้สั่งการไปยังสมองใหญ่ซึ่งควบคุมประสาทส่วนต่างๆของร่างกาย ให้ปรับระดับให้สอดคล้องกับความเชื่อหรือความเข้าใจของจิตใต้สำนึก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในที่นั้เป็นผลเนื่องมาจากอวัยวะต่างๆ และฮอร์โมนในร่างกายของผู้ถูกสะกดจิตปรับสภาวะให้อยู่ในลักษณะสมดุชกับจิต ใต้สำนึก มิได้เกิดจากอำนาจเวทมนตร์คาถา หรืออำนาจทางไสยศาสตร์แต่อย่างใดเลย ถ้าเช่นนั้นไสยศาสตร์ก็ไม่ใช่การสะกดจิต การสะกดจิตก็ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เพราะการสำกดจิตเป็นเรื่องที่สามารถใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ สามารถอธิบายหลักของวิชาสรีรศาสตร์ จิตวิทยา และแพทย์ศาสตร์ แต่เราไม่สามารถนำหลักเหล่านี้มาอธิบายหลักของไสยศาสตร์ได้ แต่ภาวะสะกดจิตอาจเกิดจากไสยศาสตร์ได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ยังหาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันและยังไม่สามารถทำเครื่องมือขึ้นมาทดลองได้ เช่น การทำคุณไสย การทำเสน่ห็ หรือการเสกของในชนบท เป็นผลให้ผู้ถูกกระทำมีแาการผิดปกติไปต่างๆนานา เช่น สติวิปลาศไป หรือเจ็บป่วยแต่หาสาเหตุไม่ได้ ผู้ที่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาโดยตรงเท่านั้น จึงกล้ายืนยันถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

ไสย์ศาสตร์มีหลักการบ้างที่เหมือนกับการสะกดจิต แม้ว่าจะไม่ค่อยตรงกันก็ตาม ในเรื่องของตุ๊กตา วูดู ในเรื่องนี้เคยถูกพิสูจน์โดยนายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันมาหลายครั้งแล้ว ในที่สุดฝ่ายทางวิทยาศาสตร์ก็พ่ายแพ้ หาเหตุผลมาอธิบายว่า ทำไมอำนาจลึกลับของตุ๊กตาวูดูจึงทำให้คนตายได้ ใ

ในทวีปแอฟริกา มีคนป่าเผ่าหนึ่งชื่อเผ่าวูดู หัวหน้าเผ่านี้เป็นหมอผีมีอาวุธอย่างหนึ่ง ซึ่งแกะจากไม้อย่างหนึ่งเป็นรูปตุ๊กตา เรียกตุ๊กตานี้ว่า ตุ๊กตาวูดู หัวหน้าเผ่านี้สามารถทำให้คนตายได้ โดยเพียงสลักชื่อบุคคลที่ต้องการให้เขาตายลงไว้บนตุ๊กตา จากนั้นจะให้มีการเต้นรำรอบกองไฟตามความเชื่อของเขา ทุกวันหัวหน้าเผ่าที่เป็นหมอผีจะใช้เข็มแทงลงไปบนตุ๊กตาตรงบริเวณที่ถูกกำหนดให้ว่า เป็นหัวใจวันละเล่มจนครบ 7 วัน เมื่อครบ 7 วันแล้ว ผู้เป็นเจ้าของชื่อจะถึงแก่ความตาย นายเพทย์ผิวขาวหลายคน ได้ทำการพิสูจน์โดยการระดมแพทย์ที่มีคววามรู้ความเชี่ยวชาณคอยดูแลคนป่วยอยู่ตลอดเวลา ส่วนฝ่ายที่ทำพิธีก็ทำต่อไป ปรากฏว่าเมื่อครบ 7 วัน ตามพิธี คนป่วยซึ่งได้รับการดูแลอย่างดีจากแพทย์ผิวขาวถึงแก่ความตายทุกรายโดยหาสาเหตุไม่ได้ ต่อมาวิธีนี้ได้มีผู้พยายามอธิบายหาเหตุผล ในที่สุดได้มีนักจิตเวชศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ให้คำอธิบายด้วยเหตุผลที่เป็นที่ยอกรับกันว่าใกล้เคียงกับความจริงที่สุด และมีทางเป็นไปได้ในทางจิตเวชศาสตร์ โดยตั้งสมมุติฐานว่า จิตใจ้สำนึกของคนเราคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่ากับชีวิต ฉะนั้นถ้าสามารถทำให้จิตใต้สำนึกเชื่ออย่างแน้นแฟ้นว่า ชีวิตเราถูกทำลายแล้วผู้เป็นเข้าของจิตใจ้สำนึกนั้นก็อาจถึงแก่ความตายได้

มีผู้เคยทดลองในต่างประเทศด้วยการนำนักโทษประหารไปชมงูพิษ แล้วบอกนักโทศผู้นั้นว่าเขาจะต้องถูกประหารชีวิต โดยหารให้งูพิษกัด และอธิบายให้ฟังถึงการที่จะต้องทำในการประหารและความร้ายแรงของงูพิษชนิดนั้น จนนักโทษเชื่ออย่างสนิทว่าเชาต้องตายภายในเวลาไม่เกิน 30 วินาที เมื่อถึงกำหนดประหาร ผู้คุมได้ตัดการเอาผ้าผูกตานักโทษไว้ แล้วพามายังห้องประหารที่ได้จัดไว้ โดยบอกนักโทษว่าเขาจะต้องถูกงูพิษกัด เมื่อจับนักโทษมัดไว้กับเก้าอี้แล้ว นายแพทย์ผู้ควบคุมได้ได้ทดลองใช้เข็มแทงเท้าไปที่ขาของนักโทษ โดยทำเหมือนกับว่าโดนงูกัด ปรากฏวานักโทษผู้นั้นร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังและล้มขาดใจตายทันที

0 ความคิดเห็น:

  © Blogger template 'Isolation' by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP